เลือกใช้ CDN อะไรดี ระหว่าง QUIC.cloud และ Cloudflare

เลือกใช้ CDN อะไรดีระหว่าง Cloudflare กับ QUIC.cloud โดยมีโลโก้ QUIC.cloud อยู่ด้านล่าง

เลือกใช้ CDN อะไรดี ระหว่าง QUIC.cloud และ Cloudflare – เมื่อ Core Web Vitals คือหัวใจของเว็บไซต์

ในยุคที่ความเร็วเว็บไซต์ส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอันดับ SEO การเลือกใช้บริการ CDN (Content Delivery Network) ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อ Core Web Vitals กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยจัดอันดับของ Google
บทความนี้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากการ เลือกใช้ CDN ระหว่าง QUIC.cloud และ Cloudflare โดยเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับ Core Web Vitals พร้อมวิเคราะห์ว่า CDN ใดเหมาะกับเว็บไซต์ประเภทใด และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแยกหน้าที่ของระบบ CDN กับระบบ Optimization ออกจากกัน

ประสบการณ์จริง QUIC.cloud ทำให้ Core Web Vitals แย่ลง

ผู้เขียนได้ทดลองใช้งาน QUIC.cloud ร่วมกับ LiteSpeed Cache Plugin อย่างเต็มรูปแบบเป็นเวลา 1 เดือน โดยตั้งค่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพ เช่น

  • Page Optimization
  • Image Optimization
  • TTL และ Cache Purge
  • เชื่อมต่อกับ QUIC และใช้ CDN ของ QUIC.Cloud อย่างถูกต้อง

แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ Core Web Vitals โดยเฉพาะ LCP (Largest Contentful Paint) อยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่ Speed Index ค่อนข้างช้า แม้ CLS และ FID จะอยู่ในเกณฑ์ดี

สาเหตุหลักที่คาดว่าเป็นปัญหา คือ

  • QUIC.cloud มักจะเชื่อมต่อกับ Origin Server โดยตรงเพื่อตรวจสอบสถานะล่าสุดของ Origin Server แม้ว่าจะมีการ Cache บน CDN ของ QUIC.cloud แต่เมื่อผู้ใช้งานเริ่มมีการร้องขอหน้าเว็บ QUIC.cloud จะมีการติดต่อไปยัง Origin บ่อยครั้ง เพื่อตรวจสอบเนื้อหามีความใหม่สดหรือไม่ ทำให้มีความล่าช้า โดยเฉพาะการเรียกใช้หน้าเว็บไซต์ครั้งแรกมักจะเกิดปัญหา “cache miss”
  • หาก Origin อยู่ไกลจากผู้ใช้ หรือ Edge ของ QUIC มีน้อยในภูมิภาคนั้น จะทำให้เกิด latency สูง
  • ส่งผลให้ Speed Index ช้ากว่ามาตรฐานที่ Google แนะนำ

เปลี่ยนมาใช้ Cloudflare แล้วดีขึ้นทันที

เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Cloudflare เป็น CDN หลัก โดยยังคงใช้ LiteSpeed Cache Plugin เดิม และตั้งค่าเพียงเล็กน้อย เช่น

  • เปิดใช้งาน Rocket Loader
  • ตั้งค่า TTL และ Cache Purge
  • ปิด QUIC.cloud ในส่วน CDN แต่ยังคงใช้บริการ Optimization

ผลลัพธ์คือ Core Web Vitals ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ LCP ที่ลดลงจนเข้าสู่เกณฑ์ “ดี” ทั้งบนมือถือ และ เดสก์ท็อป

แนวทางที่ได้ผล ใช้ Cloudflare เป็น CDN + QUIC.cloud สำหรับ Optimization

แม้ QUIC.cloud จะไม่เหมาะเป็น CDN หลักในบางกรณี แต่ยังคงมีคุณค่าอย่างมากในฐานะเครื่องมือ Optimization ที่ทำงานร่วมกับ Cloudflare ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ LiteSpeed Cache Plugin

ข้อดีของแนวทางนี้

  • ใช้ Edge Network และ Cache ของ Cloudflare เพื่อลด latency และ Cache Miss
  • ใช้ Page Optimization และ Image Optimization ของ QUIC.cloud ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Cloudflare แผนฟรี
  • ใช้ Rocket Loader ของ Cloudflare เพื่อเร่งการโหลด JavaScript เพิ่มเติม

ข้อควรระวัง !

  • หลีกเลี่ยงการเปิด Full Page Cache ซ้อนกันระหว่าง Cloudflare และ LiteSpeed
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่า QUIC.cloud ไม่ทำหน้าที่ CDN ซ้ำซ้อนกับ Cloudflare

วิเคราะห์เปรียบเทียบ QUIC.cloud vs Cloudflare

ปัจจัยQUIC.cloudCloudflare
จำนวน Edgeน้อยกว่า (โดยเฉพาะในแผนฟรี)มากกว่า 250 แห่งทั่วโลก
Cache Miss Handlingเชื่อมต่อ Origin โดยตรงใช้ Edge ใกล้ Origin + Tiered Cache
Page Optimizationดีมาก (ผ่าน LiteSpeed Cache)ดีพอสมควร (Rocket Loader, APO)
Image Optimizationทำได้ดีผ่าน LiteSpeed Cacheต้องใช้แผนเสียเงิน (Polish)
ผลลัพธ์ Core Web Vitalsขึ้นอยู่กับระยะห่าง Origin
LCP ดีมาก แต่ Speed Index ช้า
สม่ำเสมอและเสถียรกว่า
ความเหมาะสมเหมาะกับเว็บไซต์แบรนด์, ร้านค้า, ผู้เข้าชมซ้ำสูงเหมาะกับทุกเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บใหม่หรือบล็อก

สรุป เลือกใช้ CDN ให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ

  • หากคุณมีเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมซ้ำสูง เช่น แบรนด์, ร้านค้า, หรือเว็บที่มีฐานผู้ใช้ประจำ QUIC.cloud อาจให้ประสิทธิภาพที่ดีในราคาประหยัด
  • หากคุณมีเว็บไซต์ทั่วไป, เว็บใหม่, หรือบล็อกที่ต้องการ Core Web Vitals ที่ดีตั้งแต่ต้น Cloudflare คือทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
  • หากคุณใช้ LiteSpeed Cache อยู่แล้ว การใช้ร่วมกับ Cloudflare ก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน