การปรับแต่ง Cache ของ WordPress ร่วมกับ Cloudflare

ภาพคอนเซ็ปต์การปรับแต่ง Cache WordPress ร่วมกับ Cloudflare: แสดงข้อความบนพื้นหลังโค้ดและมาตรวัดความเร็ว

ความเร็วของเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้, อันดับ SEO และอัตราการแปลง การปรับแต่ง Cache เป็นหนึ่งในเทคนิคหลักในการเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ซึ่งมักใช้ปลั๊กอิน Cache เพื่อช่วยในการทำงาน ในบทความนี้ เราจะพูดถึงการใช้ Cloudflare CDN ร่วมกับการปรับแต่งปลั๊กอิน LiteSpeed Cache บน WordPress เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ปัญหา QUIC.cloud และเหตุผลในการเปลี่ยนไปใช้ Cloudflare

ผู้ใช้งานเว็บไซต์บางรายอาจพบปัญหาความเร็วเมื่อใช้ QUIC.cloud CDN โดยเฉพาะในประเทศไทย ปัญหา Core Web Vitals ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ ผู้เขียนบทความนี้เองก็เคยประสบปัญหาดังกล่าว (จากบทความก่อนหน้านี้ ➜ เลือกใช้ CDN อะไรดี ระหว่าง QUIC.Cloud และ Cloudflare – เมื่อ Core Web Vitals คือหัวใจของเว็บไซต์) และได้ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ Cloudflare CDN เพื่อแก้ไขปัญหา Cloudflare เป็น CDN ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความเร็วและความเสถียรของเว็บไซต์ได้

การตั้งค่า Cloudflare สำหรับ WordPress

หลังจากเปลี่ยนมาใช้ Cloudflare แล้ว การตั้งค่าที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ผู้เขียนแนะนำการตั้งค่าดังนี้

  • Caching Level ➜ เลือก “Standard” เพื่อเก็บ Cache ทั่วไป  
  • Browser Cache TTL ➜ เลือก “Respect Existing Headers” เพื่อใช้การตั้งค่า Cache จาก Origin server  
  • Crawler Hints ➜ เปิด “On”  
  • Always Online ➜ เปิด “On”  
  • สร้าง Rule สร้าง Rule เพื่อจัดการการโหลด Javascript (เช่น เลื่อนการโหลด) และเปิดใช้งานคุณสมบัติเสริม เช่น Fonts และ Rocket Loader (หากต้องการ)  
  • ทดสอบและล้าง Cache หลังจากตั้งค่าแล้ว ให้ทดสอบความเร็วเว็บไซต์ และหากพบปัญหาหน้าเว็บเพี้ยน ให้ล้าง Cache ของ Cloudflare

การปรับแต่ง Cache ของ LiteSpeed Cache เพื่อทำงานร่วมกับ Cloudflare

LiteSpeed Cache เป็นปลั๊กอิน Cache ระดับ Server ที่มีประสิทธิภาพสำหรับ WordPress  การตั้งค่า LiteSpeed Cache ให้ทำงานร่วมกับ Cloudflare อย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ได้อย่างมาก

การตั้งค่า LiteSpeed Cache ที่แนะนำ

  1. Cache: การตั้งค่าพื้นฐานเกี่ยวกับการเปิด/ปิดและกำหนดเงื่อนไขการ Cache
    • Enable Cache ➜ ON (เปิดใช้งานระบบ Cache ของ LiteSpeed เพื่อจัดเก็บข้อมูลเว็บไซต์)
    • Cache Logged-in Users ➜ OFF (ไม่เก็บ Cache สำหรับผู้ใช้ที่ Login เพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน หากเป็นเว็บสมาชิกที่ต้องการ Cache ข้อมูลสมาชิก ให้เปิด ON)
    • Cache Commenters ➜ OFF (ไม่เก็บ Cache สำหรับผู้แสดงความคิดเห็น)
    • Cache REST API ➜ OFF (ไม่เก็บ Cache สำหรับการเรียก API หากเว็บไซต์มีการเชื่อมต่อ API จากภายนอก ให้เปิด ON)
    • Cache Login Page ➜ ON (เก็บ Cache หน้า Login เพื่อลดภาระการทำงานของ Server)
    • Cache PHP Resources ➜ ON (เก็บ Cache ไฟล์ PHP เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลด)
    • Cache Mobile ➜ ON (เปิด Cache สำหรับอุปกรณ์มือถือ เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วบนมือถือ) *สำคัญ*
  2. TTL (Time To Live) การกำหนดระยะเวลาในการเก็บ Cache
    • Default Public Cache TTL ➜ กำหนดเวลา Cache สำหรับหน้าเว็บทั่วไป (ควรพิจารณาความถี่ในการอัปเดตเนื้อหา)  
    • Default Private Cache TTL ➜ กำหนดเวลา Cache สำหรับหน้าเว็บส่วนตัว (เช่น หน้า Admin ไม่ควรเก็บไว้นาน)  
    • Default Front Page TTL ➜ กำหนดเวลา Cache สำหรับหน้าแรกของเว็บไซต์  
    • Default Feed TTL➜ กำหนดเวลา Cache สำหรับ Feed ของเว็บไซต์ (เช่น RSS)  
    • Default REST TTL ➜ กำหนดเวลา Cache สำหรับการเรียก REST API
  3. Object Cache การใช้ระบบ Cache ระดับ Object (เช่น Memcached หรือ Redis) เพื่อเพิ่มความเร็ว
    • Object Cache ➜ ON (เปิดใช้งาน Object Cache)  
    • Method ➜ เลือกประเภทของ Object Cache ที่ Server รองรับ (Memcached หรือ Redis)  
    • Host ➜ ระบุ Host ของ Server Object Cache (โดยทั่วไปคือ localhost)  
    • Port ➜ ระบุ Port ของ Server Object Cache (ค่า Default ของ Memcached คือ 11211, Redis คือ 6379)
  4. Browser Cache การเปิด Cache ใน Browser ของผู้ใช้
    • Browser Cache ➜ ON (เปิดใช้งาน Browser Cache เพื่อให้ Browser เก็บไฟล์เว็บไซต์ไว้)

การตรวจสอบและทดสอบความเร็ว

หลังจากการตั้งค่า Cache ทั้งหมด ให้ทดสอบความเร็วเว็บไซต์ด้วย Pagespeed Insights อีกครั้ง ทำการทดสอบ 2-3 ครั้ง ทิ้งช่วง 2-3 นาที และตรวจสอบว่าความเร็วดีขึ้นหรือไม่

สรุป

การเปลี่ยนจาก QUIC.cloud มาใช้ Cloudflare และการปรับแต่ง LiteSpeed Cache อย่างเหมาะสมเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความเร็วเว็บไซต์ที่อาจเกิดขึ้นได้  การตั้งค่า Cache ที่สมดุลและการตรวจสอบความเร็วอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อ Core Web Vitals