สำหรับช่างภาพหลายๆ คน การเผชิญหน้ากับการถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยไฟ LED อาจเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่น้อย ปัญหาที่มักตามมา เช่น ภาพที่ดูมืดกว่าที่ตาเห็น สีสันที่ผิดเพี้ยน หรือแม้แต่แถบสีประหลาดๆ ปรากฏบนภาพ ล้วนเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาเหล่านี้ และนำเสนอแนวทางในการแก้ไข เพื่อให้คุณสามารถถ่ายภาพภายใต้แสง LED ได้อย่างมั่นใจและได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม
การถ่ายภาพให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจนั้น นอกเหนือจากองค์ประกอบทางศิลปะแล้ว ความเข้าใจใน หลักการทำงานของแสง และ สภาพของแสง ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
หลักการทำงานของแสงกับการมองเห็น
แสง คือพลังงานในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เราสามารถ มองเห็น วัตถุต่างๆ ได้ กระบวนการมองเห็นเริ่มต้นเมื่อ แสงตกกระทบ ลงบนวัตถุ
- ห้องสีขาวสนิท หากไม่มีวัตถุใดๆ ในห้อง แสงที่ส่องเข้าไปจะสะท้อนออกจากพื้นผิวสีขาวทั้งหมด ทำให้เราเห็นเป็นสีขาว
- วัตถุในห้อง วัตถุแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการ ดูดกลืน และ สะท้อน แสงที่แตกต่างกัน แสงที่ถูกสะท้อนออกมานี้เองที่มี สี ของวัตถุนั้นๆ เมื่อแสงสะท้อนนี้เดินทางเข้าสู่ดวงตาของเรา และถูกประมวลผลโดยระบบประสาท เราจึงรับรู้ถึงสีสันและรูปร่างของวัตถุ
- ห้องมืดสนิท ในสภาวะที่ ไม่มีแสง เลย จะไม่มีแสงใดๆ ตกกระทบหรือสะท้อนจากวัตถุเข้าสู่ดวงตาของเรา ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย นอกจากความมืดมิด

สภาพของแสงต่อเนื่อง และแสงไม่ต่อเนื่อง
สภาพของแสงสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักตามลักษณะการส่องสว่าง
1. แสงสว่างต่อเนื่อง
คือแหล่งกำเนิดแสงที่ให้ความสว่างอย่าง สม่ำเสมอ และ คงที่ ตลอดเวลาที่ใช้งาน ตัวอย่างเช่น:
- แสงจากดวงอาทิตย์ เป็นแหล่งกำเนิดแสงธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ให้แสงสว่างอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจรดเย็น แม้ว่าความเข้มของแสงจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาและสภาพอากาศ
- แสงจากหลอดไส้ (Incandescent) หลอดไฟรุ่นเก่าที่มีไส้โลหะ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ไส้โลหะจะร้อนและเปล่งแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง ให้แสงที่มีลักษณะนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ
ภายใต้สภาวะที่มี แสงสว่างต่อเนื่อง ที่เพียงพอ ช่างภาพสามารถ ตั้งค่ากล้องได้อย่างอิสระ ทั้งความเร็วชัตเตอร์และรูรับแสง เพื่อควบคุมปริมาณแสงที่เข้าสู่เซ็นเซอร์รับภาพ และสร้างสรรค์ภาพที่มีความชัดลึกตามต้องการ
2. แสงสว่างไม่ต่อเนื่อง
คือแหล่งกำเนิดแสงที่ให้ความสว่างในลักษณะ ติดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว หรือเป็นช่วงเวลา จินตนาการง่ายๆ หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) ที่กำลังจะเสีย เมื่อหลอดไฟใกล้หมดอายุการใช้งาน มักจะแสดงอาการ กระพริบ หรือติดๆ ดับๆ อย่างเห็นได้ชัดเหมือนกำลังดูหนังผีของไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
- ไฟแฟลชกล้อง เป็นอุปกรณ์ที่สร้างแสงสว่างวาบขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อเพิ่มปริมาณแสงให้กับฉากที่ต้องการถ่ายภาพ
- LED (Light Emitting Diode) แม้ว่าสายตาของเราจะรับรู้ว่าแสงจากหลอด LED นั้น สว่างต่อเนื่อง แต่ในความเป็นจริง หลักการทำงานของ LED คือการ กระพริบด้วยความถี่สูงมาก ซึ่งมักใช้เทคนิค Pulse Width Modulation (PWM) ในการควบคุมความสว่าง (อ้างอิง: https://www.electronics-tutorials.ws/blog/pulse-width-modulation.html) จนเกินกว่าที่สายตามนุษย์จะสังเกตเห็นได้
ทำไมถ่ายภาพในห้อง LED ถึงเจอปัญหา?
หลอดไฟ LED ที่นิยมใช้ให้แสงสว่างภายในอาคาร รวมถึง จอ LED ขนาดใหญ่ มีหลักการทำงานพื้นฐานคือ การเปิดและปิด (กระพริบ) การจ่ายกระแสไฟฟ้าด้วย อัตราการรีเฟรชที่สูงมาก ความถี่ในการกระพริบนี้สูงจนสายตามนุษย์ไม่สามารถแยกแยะการติดดับได้ ทำให้เรารับรู้เพียงความสว่างที่ดูเหมือนต่อเนื่อง แต่ เซ็นเซอร์รับภาพของกล้องถ่ายรูปนั้นมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของแสงเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำการ ถ่ายภาพต่อเนื่อง คุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในแต่ละภาพ บางภาพอาจดูสว่างและมีคุณภาพดี ในขณะที่บางภาพกลับมืดลง หรือมีแถบสีแปลกๆ ปรากฏขึ้นในเสี้ยววินาทีถัดมา เนื่องจากกล้องจับภาพในช่วงเวลาที่ LED กำลังดับ หรือสว่างไม่เต็มที่ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากความเร็วชัตเตอร์ของกล้องสัมพันธ์กับความถี่ในการกะพริบของ LED นั่นเอง
ปัญหาที่พบบ่อยในการถ่ายภาพด้วยแสง LED
- ภาพมืดแม้ในห้องสว่าง: กล้องจับภาพในช่วงเวลาที่หลอด LED ปิด หรือยังสว่างไม่เต็มที่ ทำให้ภาพโดยรวมดูมืดกว่าที่ตาเห็น
- สีสันไม่เป็นธรรมชาติ: ใน LED ที่สร้างแสงขาวจากการผสมแสงสีหลัก (แดง เขียว น้ำเงิน) การกระพริบที่ไม่พร้อมเพรียงของแต่ละสีอาจส่งผลให้สีสันในภาพดูผิดเพี้ยนหรือไม่สดใสเท่าที่ควร
- ปัญหาการถ่ายภาพหมู่หน้าจอ LED: แสงที่สว่างและกระจายออกมาจากจอ LED ขนาดใหญ่อาจทำให้บุคคลที่ยืนอยู่ด้านหน้าจอดูมืด เนื่องจากความแตกต่างของความสว่างที่มากเกินไป
วิธีแก้ไขปัญหาการถ่ายภาพภายใต้แสง LED
- ใช้โหมด Manual (M) และปรับตั้งค่า: ในกล้องรุ่นใหม่ที่มีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ (Live View) ให้ลองตั้งค่า รูรับแสงให้กว้างขึ้น (ค่า F น้อย) เพื่อให้กล้องรับแสงได้มากขึ้น และ ความเร็วชัตเตอร์ให้สูงขึ้น (เช่น 1/200 วินาที หรือเร็วกว่า) เพื่อลดโอกาสที่กล้องจะจับภาพในช่วงที่ LED กระพริบซึ่งสัมพันธ์กับความถี่ในการกะพริบของ LED หรือหากกล้องของคุณมีฟังก์ชัน Anti-flicker Shoot. ก็สามารถเปิดใช้งานเพื่อลดผลกระทบนี้ได้ (ดูข้อมูลเพิ่มเติม https://helpguide.sony.net/ilc/2010/v1/en/contents/TP0003220945.html)”
- ใช้โหมด Shutter Priority (S หรือ Tv): ตั้งค่า ความเร็วชัตเตอร์ไว้ที่ค่าสูง (เช่น 1/200 วินาที) เปิดใช้งาน Auto ISO โดยกำหนดค่า ISO สูงสุดที่ยอมรับได้ (เช่น 5000) ตั้งค่าการวัดแสงเป็นแบบเฉลี่ยทั้งภาพ และลอง ชดเชยแสงไปทางบวก (EV +0.7 ถึง +7) เพื่อให้ภาพสว่างขึ้น
- ใช้แฟลชกล้อง: แสงแฟลชเป็นแสงสว่างที่ไม่ต่อเนื่อง แต่มีระยะเวลาสั้นมาก และมีความสว่างสูง ซึ่งมักจะสามารถเอาชนะปัญหาการกะพริบของแสง LED ได้
- ใช้ไฟต่อเนื่องหรือไฟสตูดิโอ: หากสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการถ่ายภาพได้ การใช้แหล่งกำเนิดแสงต่อเนื่อง เช่น ไฟสตูดิโอแบบหลอดไส้ หรือไฟ LED คุณภาพสูงที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพ (ซึ่งมักมีระบบควบคุมการกะพริบที่ดี) จะช่วยแก้ปัญหาได้โดยตรง
- (ทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายสูง): การเปลี่ยนไปใช้กล้องและเลนส์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับสภาพแสงน้อยได้ดีขึ้น และเลนส์ที่มีค่ารูรับแสงคงที่ (ค่า F ไม่เปลี่ยนแปลงตามช่วงซูม) อาจช่วยลดปัญหาได้ แต่เป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง การใช้แฟลชอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า

สรุป
การถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจากหลอดไฟ LED และจอ LED จำนวนมากนั้น จำเป็นต้องมีความเข้าใจใน หลักการทำงานของแสง และ สภาพแสงที่ไม่ต่อเนื่อง การปรับตั้งค่ากล้องอย่างเหมาะสม และการเลือกใช้อุปกรณ์เสริม เช่น แฟลช หรือไฟต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณสามารถก้าวข้ามอุปสรรคจากแสง LED และได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ การทดลองและสังเกตผลลัพธ์จากการตั้งค่าต่างๆ จะเป็นประสบการณ์ที่มีค่าในการรับมือเมื่อเจอปัญหานี้