7 สิ่งที่ผู้ใช้ Windows สับสนเมื่อใช้ Mac

7-think-windows-to-mac-01

หากคุณคุ้นเคยกับการใช้งาน Windows อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวสักพักเมื่อเปลี่ยนไปใช้ Mac

เนื้อหาสำคัญ

หากคุณเป็นผู้ใช้งาน Windows การเปลี่ยนไปใช้ Mac อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่ากังวล เพราะต้องพบกับหน้าจอ OS แบบใหม่และแป้นพิมพ์ลัด และองค์ประกอบอีกหลายอย่างอาจจะทำให้คุณงุนงง จนแทบไม่อยากจะใช้งาน แต่หากคุณพร้อมเรียนรู้กับระบบ macOS นี่คือปัญหาที่รวบรวมมา

7-think-windows-to-mac
คุณอาจจะสับสนกับการใช้ Mac ครั้งแรก

Dock กับ Taskbar

macOS DOCK เป็นแถบเครื่องมือที่อยู่ด้านล่างของหน้าจอบน macOS ซึ่งมีหน้าที่เก็บไอคอนของแอปพลิเคชันที่ใช้บ่อย และไอคอนอื่น เช่นโปรแกรม, เอกสาร, แฟ้ม, และลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่ใช้บ่อย การใช้ dock คุณสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันหรือไฟล์ต่าง ได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้คุณเปิดแอปพลิเคชันหรือไฟล์โดยไม่ต้องค้นหาในโฟลเดอร์ของระบบเช่นกัน นอกจากนี้คุณยังสามารถปรับแต่ง dock ได้ตามต้องการ เช่นเพิ่มหรือลดขนาดไอคอน, เปลี่ยนตำแหน่ง, หรือเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของ dock ได้ด้วย

Windows Taskbar เป็นแถบที่ปรากฏด้านล่างของหน้าจอที่ใช้ในการเก็บไอคอนของแอปพลิเคชันที่กำลังทำงานอยู่, แอปพลิเคชันที่เปิดไว้, และลิงก์สำหรับการเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ของระบบ Windows รวมถึงการแจ้งเตือนของระบบ

ในการเปรียบเทียบ Dock จะเน้นที่การแสดงไอคอนแอพที่คุณสามารถปักหมุดได้รวมถึงหน้าต่างและโฟลเดอร์ที่ย่อเล็กสุด ซึ่งทำอะไรมากไม่ได้เหมือน Taskbar

Dock on macOS

คีย์บอร์ด Mac และ Windows มีปุ่มที่แตกต่างกัน

ถ้าหากคุณคุ้นเคยกับปุ่ม Ctrl, Alt  และปุ่ม start บน Windows แต่หากคุณเปลี่ยนไปใช้ macOS คุณจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับปุ่ม Control, Option และ Command ซึ่งปุ่มเหล่านี้ทำงานคล้ายกันกับปุ่มของ Windows ดังนี้

  • ปุ่ม Option (macOS) = ปุ่ม Alt (Windows)
  • ปุ่ม Command (macOS) = ปุ่ม Ctrl (Windows)

ตัวอย่างดังต่อไปนี้

Windows: ปุ่ม Ctrl ใช้ในการทำคำสั่งและการสั่งงานต่าง เช่น Ctrl + C สำหรับคัดลอก, Ctrl + V สำหรับวาง, และ Ctrl + S สำหรับบันทึก

macOS: ปุ่ม Cmd ใช้ในการดำเนินการคำสั่งเช่นเดียวกันกับ Ctrl บน Windows แต่มักจะมีการใช้งานที่แตกต่าง เช่น Cmd + C สำหรับคัดลอก, Cmd + V สำหรับวาง, และ Cmd + S สำหรับบันทึก

สรุปได้ว่า ปุ่มคีย์บอร์ดบน macOS และ Windows มีฟังก์ชันหลักที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก แต่มีการตั้งชื่อและการใช้งานที่แตกต่างกันไปในบางกรณี โดยเฉพาะในที่สายเปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่มแต่ละปุ่มบนคีย์บอร์ดของ macOS ที่มีการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลายและสามารถทำให้การใช้งานคีย์บอร์ดมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

Keyboard Mac

Windows และ Mac ใช้ชื่อต่างกันสำหรับสิ่งเดียวกัน

ไม่ว่าคุณจะใช้งาน Windows หรือ Mac คุณจะต้องทำกความคุ้นเคยกับศัพท์เฉพาะเหล่านี้ แม้ว่าคำศัพท์หลายคำจะเหมือนกัน แต่ไม่ว่าคุณจะใช้ระบบปฏิบัติการใดก็ตาม ก็ต้องมีคำศัพท์ที่แตกต่างบางประการ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

Windows

Mac

Control Panel

System Settings

Ctrl+Alt+Delete

Command+Option+Escape

Recycle Bin

Trash

Shortcut icon

Alias

การจับภาพหน้าจอเป็นเรื่องง่าย

ในฐานะผู้ใช้ Windows คุณอาจจะกดปุ่ม PrtScrn หรือ Windows + PrtScrn บนคีย์บอร์ดแล้วนำไปวางในแอป Paint ทำการเลือกบริเวณที่ต้องการ ซึ่งมีความยุ่งยากพอสมควร หรือคุณอาจจะติดตั้งแอป Green Short (ฟรี) หรืออาจจะใช้แอป Snipping Tool เพื่อเลือกและจับภาพพื้นที่เฉพาะบนหน้าจอ

บน macOS การจับภาพหน้าจอไม่ต้องติดตั้งแอปเพิ่มเติม หากคุณต้องการจับภาพหน้าจอ

  • จับภาพทั้งจอ กดปุ่ม Command+Shift+3
  • จับภาพเฉพาะที่เลือกบนจน กดปุ่ม Command+Shift+4
  • เรียกใช้แอปจับภาพและแสดงตัวเลือกต่างๆ Command+Shift+5

โดยค่าเริ่มต้นในการบันทึกหน้าจอจะอยู่บน Desktop

Capture screen on macOS

แอปที่ติดตั้งบน macOS เริ่มต้นคล้ายกับ Windows

เมื่อคุณเปลี่ยนไปใช้ macOS คุณจะสังเกตเห็นว่าแอพที่ติตตั้งมาให้บน macOS และบน Windows มีความคล้ายคลึงกัน เช่น

  • เว็บเบราว์เซอร์บน Windows คือ EDGE และ บน macOS คือ Safari
  • Task Manager บน Windows ใช้ดูข้อมูลและจัดการเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ ส่วนบน macOS จะใช้แอป Activity Monitor เพื่อใช้ดูข้อมูลและการใช้งานฮาร์ดแวร์เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังใช้ปิดแอปที่ค้างในระบบ หากเป็น Task Manager จะมีปุ่ม End Task ให้กด แต่ใน Activity Monitor จะมีปุ่ม Force Quick ให้กด ซึ่งสองปุ่มนี้ทำงานลักษณะเดียวกันคือ หยุดหรือปิดแอปที่ค้างหรือใช้งานไม่ได้
  • Microsoft Outlook ซึ่งเป็นแอปที่ต้องติดตั้งเพิ่มเติมซึ่งมีมาให้ใน Microsoft Office 365 แต่ใน macOS ติดตั้งแอป Mail, Pages (ใช้แทน MS Word), Numbers (ใช้แทน MS Excel) และ Keynote (ใช้แทน MS Powerpoint)มาให้เรียบร้อย
  • Windows Media Player เล่นไฟล์มัลติมีเดียบน Windows ใช้งานได้ครอบคลุม แต่ใน macOS แม้จะมี Apple Music, Apple TV, Apple Podcasts และอื่นๆในบางบริการของ Apple จำเป็นต้องซื้อ
  • Windows Cortana กับ macOS Siri
  • Notepad บน Windows กับ TextEdit

ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของ macOS  ก็คือมาพร้อมกับแอพพิเศษฟรีมากมายที่ปกติต้องจ่ายเงินซื้อ และในการใช้งานยังเป็นมิตรกับอุปกรณ์เดียวกัน ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Apple เดียวกัน เช่น Mac, iPhone, Macbook เป็นต้น

UI ดูคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน

ความแตกต่าง UI ( UI คือหน้าตา ) ของ Windows และ Mac จะมีความสำคัญบางประการในการออกแบบ UI เช่น เวลาเปิดหน้าต่างใน Mac คุณจะสังเกตว่าปุ่มสำหรับปิดแอป ( สีแดง ) ปุ่มย่อขนาด ( สีเหลือง ) และปุ่มขยายหน้าต่างใหญ่สุด (สีเขียว) จะอยู่ที่ด้านซ้ายบน ซึ่งในการเปรียบเทียบของ Windows จะรวมเมนู เช่น File, address bar, view และอื่นๆ ขยายตามหน้าต่างซึ่งสะดวกในการใช้งาน

และข้อแตกต่างอีกประการคือ แถบเมนูใน macOS จะอยู่ด้านบนสุดของหน้าจอเสมอช่วย ให้คุณเข้าถึงเมนู Apple, Finder, เวลาและวันที่, การตั้งค่า Wi-Fi และบลูทูธ และสถานะแบตเตอรี่ รวมถึงตัวเลือกเมนูเฉพาะแอพ ส่วน Windows จะรวมเมนู Start menu, system tray และ taskbar ไว้ในแถบเดียวที่ด้านล่างของหน้าจอตามค่าเริ่มต้น 

UI

เปิดแอปด้วย Launchpad แทนเมนู Start

เมนู Start บน Windows ช่วยให้คุณเข้าถึงแอปพลิเคชัน, การตั้งค่าระบบ และไฟล์ล่าสุดได้จากที่เดียว แต่บน macOS สามารถเข้าถึงแอปต่างๆด้วย Launchpad ซึ่งเป็นตารางไอค่อนสไตล์ iPad สามารถเข้าถึงแอปทั้งหมดของคุณได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม Launchpad ไม่อนุญาตให้คุณเข้าถึงไฟล์ล่าสุดหรือการตั้งคาของระบบ แต่คุณสามารถเข้าถึงได้ผ่าน Dock และไอคอนเมนู Apple บนเครื่อง Mac ของคุณ และการตั้งค่าของระบบสามารถเข้าถึงโดยแอป System settings อย่างเดียวเท่านั้น

7-think-windows-to-mac-launchpad
Launchpad on macOS

การเปลี่ยนจาก PC หรือแล็ปท็อปที่รันระบบปฏิบัติการ Windows ไปเป็น macOS อาจจะต้องเกิดกระบวนการเรียนรู้ การทำความเข้าใจกับระบบปฏิบัติการ หากคุณเข้าใจในฟังก์ชันต่างๆของ macOS แล้วคุณจะใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบางครั้งคุณอาจจะชอบใน UI ของ macOS ที่มีความเรียบง่าย และคุณอาจจะชอบ Windows ที่สามารถใช้งานแอปได้เยอะกว่ารวมไปถึงการเล่นเกมส์ ซึ่งในบางครั้งหากคุณได้เปลี่ยนสายงานที่บริษัทใช้ macOS คุณก็อาจจะจำเป็นต้องใช้

ที่มา : How-to Geek